เอ๋ มณีรัตน์ ผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีข่าวความรัก กับชีวิตในอดีตที่ไม่ง่าย
“เธอจะรักเราได้ไหม” ประโยคบอกรักที่แสนจะทรมานของนุ้ย พยาบาลสาวที่หลงรักคนไข้ จากภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิท สิบกว่าปีในวงการของ เอ๋ มณีรัตน์ คำอ้วน เราได้เห็นเธอในหลากหลายบทบาท

เป็นนักแสดงที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง และแม้ว่าจะทำงานมานาน ชีวิตบนเส้นทางในวงการบันเทิงของ
“เอ๋ มณีรัตน์” ที่ดูภายนอกใครๆ ก็มองว่าสวยงามเข้าวงการผลงานชิ้นแรกภาพยนตร์ “เพื่อนสนิท”
ก็โด่งดังพลุแตกกลายเป็นที่รู้จักทันที แต่หากย้อนเส้นทางชีวิตก่อนจะเป็นดวงดาวในวงการบันเทิงนั้นชีวิตของเธอต้องผ่านเรื่องราวการสู้ชีวิตที่มากมาย
ร้านสะดวกซื้อที่ได้ค่าแรงชั่วโมงล่ะ 20 บาท และก้าวมาสู่การเป็นนักแสดงตังประกอบค่าตัววันละ 300 ซึ่งเธอก็เป็นอีกหนึ่งคนวงการบันเทิงที่มีเรื่องราวชีวิต

ที่น่าสนใจขอเลือกนำมาถ่ายทอดในมุมชีวิตของ “เอ๋ มณีรัตน์” กว่าเธอจะเดินทางมาถึงจุดคำว่า “นักแสดง” ได้แบบเต็มตัวนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
จุดพลิกชีวิต “สูญเสียเสาหลัก” ครอบครัว เธอบอกว่า เสียใจที่ต้องเสียพ่อแต่ก็ต้องเดินหน้าเพื่อเป็นเสาหลักใหม่ให้คุณแม่
“ครอบครัวจากที่พ่อเป็นคนดูแลครอบครัวพ่อเป็นคนหารายได้หลักแม่ก็เป็นคนช่วยเสริมและเอ๋ก็เป็นลูกคนเล็กและมีพี่สาวที่จะรับผิดชอบ
ทำงานดูแลช่วยนั้นช่วยนี้ทุกอย่างของเอ๋ก็จะรองลงมาเยอะมากพูดง่ายๆ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหนักมากก็จะรู้สึกว่าสบายๆ
แต่ถามว่ามันมีความเสียใจมั้ยที่ครอบครัวต้องสูญเสียคุณพ่อมันมีอยู่แล้วแต่ว่าเราต้องเดินต่อ ถ้าเรามานั่งโทษว่าโชคร้ า ยจังเลยแย่จังเลยไม่เหลืออะไรแล้ว
มันไม่มีประโยชน์คือเราจะทำยังไงให้ ณ ปัจจุบันมันดีที่สุดแล้วเราแบ่งเบาภาระคุณแม่ได้อยากดูแลคุณแม่ให้มันดีกว่านี้ ซึ่งคุณแม่เขาก็เสียใจอยู่แล้ว
และเราก็เสียใจเพราะฉะนั้นถ้าเรายิ่งเสียใจไม่ลุกขึ้นมาเป็นเสาหลักให้เขาแล้วเขาจะพึ่งพาใครคุณแม่ช่วยตัวเองได้มั้ยเขาช่วยตัวเองได้
แต่เราต้องมีหน้าที่ช่วยกัน”เพื่อนสนิท” จุดเปลี่ยนชีวิตก้าวสู่ความดัง”เป็นงานการแสดงชิ้นแรกเลยค่ะที่ได้ แต่ถามว่ามีความรู้สึกหลงมั้ยมันก็ต้องมีหลงอยู่แล้ว
แต่เอ๋อาจจะเป็นแค่แสงสีบ้างแต่ที่เรายังอยูู่ได้เพราะว่าโชคดีได้คนรอบข้างที่ดีครูที่ดีแค่คือยังไงเราก็ต้องมองหาว่าตัวเราเองเป็นใคร
ทำอะไรอยู่ดารานักแสดงคนคนอาจจะมองว่าสวยหรู หน้าที่การงานดูดีแต่มันก็ไม่เสมอไป การใช้ชีวิตมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเอ๋เอง
ก็ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยมากเราก็ควรรู้ตัวว่าควรทำอะไรใช้จ่ายยังไงและเราเป็นอะไรใช้เท่าที่มีเอาเท่าที่มีไม่อยากมากจนเกินไป
ถ้าไม่งั้นเราจะลำบากจริงๆ และเราจะไม่รู้คำว่าความพอดีมันอยู่ตรงไหนเอ๋มองไปเรื่องของความสุขมากกว่าถ้าทำแล้วมันไม่มีความสุข
และมันต้องฝืน ณ ตอนนี้มันก็คงถึงจุดที่ต้องถามว่าความสุขคืออะไรแล้วเราตอบตัวเองได้จริงมั้ยว่าความสุขคืออะไรและอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข