ไชยา มิตรชัย เล่ามรสุมชีวิตที่ต้องปิดบังเรื่องครอบครัว
จัดเป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่หลายคนชื่นชอบหนักมากสำหรับครอบครัวของนักร้องและนักแสดงดัง เอ-ไชยา มิตรชัย ที่ยกมาทั้งบ้านได้แก่ ลูกสาว น้องแป้ง น้องแชมป์ มิตรชัย มาเผยชีวิตต้องปกปิด อยู่บนความหวาดระแวง

แม้ลูกป่วยหนักก็ไปเยี่ยมไม่ได้ ต้องย้ายเยอะถึง 7 ครั้ง หนักสุดเคยคิดสั้น เพราะคิดว่าอาชีพลิเกมีครอบครัวไม่ได้ ไม่อยากเชื่อปัจจุบันนี้ได้ใช้ชีวิตเหมือนฝัน ไม่เคยคิดว่าจะได้เปิดตัวลูกเมียแล้วจริงๆ
เอ เผยว่า “ชีวิตเหมือนละครคือพี่เคยเจอนะ ละครบางเรื่องที่เขียนว่าพ่อหนูเป็นซูเปอร์สตาร์ แล้วก็พอดูก็เอ๊ะ…มันเรื่องเราหรือเปล่า มันอยู่กับความหวาดระแวง ความหวาดกลัวทุกสิ่ง ทุกอย่างคือต้องอยู่ในกรอบหมด อยู่นอกกรอบไม่ได้เลย มีนเป็นชีวิตที่ทุกคนกำกับแล้วว่าเราต้องไปเส้นทางนี้
แม้กระทั่งครอบครัวของเรา เราก็ต้องตีวง ตีกรอบเอาไว้ว่าเราต้องอยู่กันแบบนี้นะซึ่งครอบครัวเราในตอนนั้นจะไปสู่สาธารณะชนไม่ได้เลย ช่วงนั้นมันเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็ว่าได้ ตอนพี่บอกลูกๆเขาเข้าใจนะครับ อันนี้เป็นความคิดของผม เปิดกันมาขนาดนี้ผมว่าเราเข้าใจส่วนหนึ่ง
แต่มีบางส่วนที่เด็กไม่เคยได้พูดแล้วปล่อยมันผ่านไป แต่สำหรับตัวพี่ พี่คิดว่าลูกเข้าใจ เพราะว่าถึงตัวพี่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูแลเขา ต้องยกความดีให้กับภรรยา พี่หนูนาเขาพยายามบอกกับลูกเสมอ พ่ออยู่ใกล้ๆ นะ พ่อฝากของกินไว้ให้ คือจะมีคำว่าพ่ออยู่ในหัวของเด็ก

แม้กระทั่งเข้านอน พ่อไม่เคยฝันดีกับลูกเลย แต่แม่จะไปแล้ว พ่อมาบอกว่าฝันดีนะลูก ผมมีความรู้สึกว่าขอบใจเมียและขอบใจลูกที่เข้าใจพ่อในวันนี้ครับ”
“ลิเกเหมือนมีคำสาปเพราะว่าหลายคณะตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย มาเขาจะบอกว่าถ้าเปิดเผยตัวตนเลยตอนนั้นเรากำลังมีชื่อ ถ้าเปิดปั๊บคือตกเลยทันที คือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันมีให้พี่เห็น พี่ก็เลยต้องเลือกระหว่างครอบครัวเล็กๆ ของพี่
กับอีกหลายครอบครัวของลูกน้องที่มีเป็นร้อยชีวิต เขาฝากไว้กับเรา หัวหน้าคณะที่มีป้ายว่า ไชยา มิตรชัย ถ้าถามว่าตอนนั้นถ้าพี่เปิดตัวไปพี่ลำบากไหม พี่ไม่ลำบากเลยนะ พี่สบายแล้ว ลูก เมียก็สบายแล้ว เพราะญาติทางเมียนี่คือมีกินไม่หมด เขาสบาย
แต่เราต้องเลือกว่าเราต้องอยู่แบบนี้ เขาก็เข้าใจ เด็กสมัยนี้อาจจะไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แล้วสื่อก็ไม่มีให้เห็นเหมือนเมื่อก่อน พอเป็นข่าวปุ๊บก็จะขึ้นหน้า1 เลยทันที แล้วคนจะเชื่อเลย คือเสียแล้วเสียเลย ปีที่น้องแป้งเกิด พี่เริ่มทำเพลง กระทงหลงทาง พี่เล่นลิเก 365 วัน
แล้วมามีกระทงหลงทาง พอมาตกแพปุ๊บเป็นปีที่แชมป์เกิด ปีนั้นรายการทีวีก็มา แล้วก็ละครก็มี แล้วก็ไหนจะเดินสายลิเกทุกคืน ตอนนั้นค่ายเพลงกับพี่ก็มีปัญหากันแล้ว เนื่องจากว่าพี่จะไม่สามารถเล่นลิเกได้ จะต้องเดินสายวงดนตรี
พี่ก็ลงใต้ ไป 1 ปีเต็มๆ ไม่ได้เข้าบ้านไม่ได้เจอลูก เจอเมีย แม้กระทั่งโทรศัพท์ผมก็ไม่ได้โทรฯหาเลย เพราะผู้จัดการก็ไม่รู้ว่าเรามีครอบครัว”
“จนภรรยาคิดว่าพี่ทิ้งไปแล้ว เขาคิดว่าพี่ทิ้งแล้ว อยู่กันตามประสาลูกทั้งสอง ตอนนั้นเริ่มจะมีการย้ายบ้าน จนแม่ยายผมท่านบอกว่ากลับบ้านเราไหม บ้านเราไม่ได้ลำบากนะ หลานยายก็รักมาก เขาบอกว่าไม่เป็นไร
หนูเลือกชีวิตนี้แล้ว หนูอยู่กับเขาได้ หนูรอเขาได้ รอแบบลมๆ แล้งๆ ไม่มีความหวังเลย โทรไปกี่ครั้งพี่เอไม่ว่าง ประเด็นคือเราไม่ได้สั่งใครไว้เลย ว่านี่เมียเราผมเพิ่งมารู้ว่าเขากอดกันร้องไห้ เขามาบอกตอนหลังว่าแม่บังคับให้กลับบ้าน
แต่เขาไม่กลับเขาอยากอยู่กับพ่อ พี่เข้าใจหัวอกศิลปินหลายๆ คน บางทีก็น้อยอกน้อยใจตัวเอง พี่ก็เป็นคนนึงในนั้นเหมือนกัน อย่างที่เคยมีข่าวเมื่อก่อนคิดจบชีวิตเหมือนกัน เพราะว่าสิ่งที่เราได้ตรงนั้น มันอีกหลายสิ่งที่เราขาดในชีวิต เราขาด
เราโหยหาความรักจากครอบครัวมันก็เลยกลายเป็นว่าต้องอดทนอยู่ให้ได้ จากวันนั้นถึงวันนี้ผมอยู่มาด้วยความอดทน อยู่กับความทุกข์ระทมมาตลอด ไม่ใช่ว่า มันเหมือนหน้าชื่นอกตรมที่ออกหน้าเวที ไหนเราจะไม่ได้เจอลูก เจอเมียแล้ว เจอกันก็ทักไม่ได้ กลัวลูกจะทักเราอีกต่างหาก
เพราะตอนนั้นมีคนในค่ายไปด้วย เขาบินไปหา แล้วเจอกันแบบนั้น มันอยู่กับความหวาดระแวงตลอดเวลาเลย เวลาที่ผมไปบ้าน พอหมาเห่า เราก็ต้องไปดูที่หน้าต่าง ใครมาจอดรถอยู่หน้าบ้าน คือมันมีจริงๆ คือรถนักข่าว รถอะไร คือตามจริงๆ อยากได้ข่าวในตอนนั้น
ผมบอกเลยว่ามันมีทั้งความทรมาน ความอดทน ทุกอย่างมันเข้ามา ต้องขอบคุณเวลาจริงๆ นะที่มันสามารถผ่านมาได้ พอผ่านมาแล้วเราถึงได้มีรอยยิ้มได้”
เอ เล่าต่อว่า “เรื่องที่ทำให้น้ำตาไหลคือวันนั้นแป้งโทรไปหาผม แต่ผมกำลังจะเข้ารายการ พ่อจ๋าหนูร้องเพลงพ่อได้แล้ว อย่าเพิ่งวางสายนะ เดี๋ยวหนูร้องให้พ่อฟัง เรารู้เลยเขาพูดคำว่าอย่าเพิ่งวางสายนะ
เพราะมันเคยมีเหตุการณ์ว่าแป้งเดี๋ยวพ่อถ่ายรายการ ถ่ายละครนะแล้วจะวาง เขาคงจำไง ร้องเพลงประกอบละครที่ผมเล่น ฟังลูกไป ตรงนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยนะ สำเนียงเด็กที่เขายังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แล้วเขาก็ร้องเพลงให้เราฟัง มันกลายเป็นแบบฟังจนจบแล้วนั่งน้ำคาหยด
แต่สุดท้ายก็ต้องปาดน้ำตาแล้วเข้ารายการ ตอนยังไม่เปิดตัวแล้วมันติดใจพี่นะ ตอนที่ยังไม่เปิดตัว ตอนที่ลูกถูกติดต่อมาเล่นหนัง เล่นละคร เชื่อไหมว่ามันเป็นความฝันของเขาเลยว่าเขาอยากเล่น อยากแสดง
แต่สุดท้ายพอจะเอาลูกไปเล่น แล้วเราจะบอกยังไง จะต้องโกหกซับซ้อน อีกหน่อยก็จะต้องโดนถามว่าเป็นลูกใคร ตอนนั้นมันคิดไม่ตก มันคิดอยู่หัวอกคนเป็นพ่อมันไม่อยากให้ลูกไปโกหกเหมือนกับที่เราเป็นอยู่
เข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยได้ ไม่อยากให้เขามีมลทินติดตัวไป ขอให้เป็นแค่รุ่นพ่อพอแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ติดในใจของเรา เหมือนฟ้ามาโปรดจริงๆ มันเข้ามาจังหวะเหมาะพอดีที่เราได้แกะปมตรงนั้นออกทั้งหมด”
“ผมขอบคุณกาลเวลา และทุกสิ่งทุกอย่างที่มันได้มาในชีวิต ถ้าวันนั้นเราคิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว เราก็ไม่ได้มีรอยยิ้มเกิดขึ้นในครอบครัว เพราะเรามีภรรยาที่เขาเสียสละให้กับเรามาทั้งชีวิต
เขาพยายามเลี้ยงดูลูกที่ดีให้กับเราเขาพยายามรักษาทุกอย่าง ประคองไว้เพื่อวันนึงเราจะอยู่พร้อมครอบครัว ถ้าผมตัดสินใจทิ้งเขาไป หรือไปมีคนอื่น ผมคงไม่มีความสุขอย่างทุกวันนี้ “
แป้ง เผยว่า “ต้องบอกว่าตั้งแต่หนูโตมา หนูไม่ได้อยู่กับพ่อเลย หนูอาจจะชิน จะมีแค่ตอนจำความไม่ได้พ่อยังอยู่กับเราบ้างเพราะหนูเห็นตามวิดีโอที่พ่ออัดเราตอนเด็ก
แต่พอเราจำความได้ แม่หนูให้เห็นพ่อตลอด จะเปิดวิดีโอที่เป็นลิเกตลอดหรือว่าช่วงนั้นพ่อเล่นละครเยอะมากก็จะให้ดูตลอด มันเลยไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรเลย พูดตรงๆ ว่าไม่เข้าใจ
แต่มันก็เป็นอัตโนมัติ เห็นคนต้องวิ่ง คนอื่นเห็นเราอยู่กับพ่อไม่ได้ หนูกับน้องต้องวิ่งไปหลบ ซึ่งตอนนั้นเราไม่เข้าใจ แต่มันเป็นไปแบบอัตโนมัติ ตอนเด็กๆเคยโกหกว่าตอนนั้นบอกว่าพ่อเป็นตำรวจ ตอนนั้นเหมือนโกหกไปก่อน
ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครที่เป็นเพื่อรสนิทเรา แต่ว่าวันพ่อเขาก็จะมีพ่อไป แต่ของหนูจะเป็นแม่ เพื่อนก็เลยถาม แต่โกหกกันคนละอาชีพ ไม่ได้เตี๊ยมกับน้อง“
แชมป์ เผยว่า “ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยครับ เพราะว่าเราโตมาในแบบที่เราเป็นแบบนี้อยู่แล้วเลย เลยไม่รู้สึกว่ามันผิดหรือขาดความอบอุ่น เพราะผมว่าครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่ดีครับ ผมโกหกเยอะมาก จำไม่ได้ พอเริ่ม ม.ต้น เพื่อนรู้แล้ว คือทุกคนไม่ได้อะไร เพราะมันเริ่มจากการโกหก เพื่อนก็ไม่มีใครพูดอะไรกัน”